นักเตะทีมชาติไทย ที่สามารถทำประตูได้มากมายในอาชีพการเล่นของพวกเขามักจะเป็นที่จดจำและเคารพอย่างสูง พวกเขาไม่เพียงแค่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง แต่ยังสร้างเกียรติยศให้กับทีมชาติของพวกเขา การทำประตูให้กับทีมชาติไทยนั้นเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของนักเตะหลายคน และในบทความนี้ เราจะพาทุกท่านไปพบกับ “10 นักเตะทีมชาติไทย ที่ทำประตูสูงสุดได้ตลอดกาล” ซึ่งการทำประตูเป็นหัวใจสำคัญของเกมฟุตบอล ทุกประตูที่ทำได้ไม่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงสกอร์ในเกมเท่านั้น แต่ยังสร้างความตื่นเต้น ความสุข และความภาคภูมิใจให้กับทั้งนักเตะและแฟนบอล การทำประตูไม่ได้เป็นเพียงแค่การส่งลูกบอลเข้าสู่ตาข่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงถึงทักษะ ความชำนาญ และความสามารถในการอ่านเกมของนักเตะอย่างแท้จริง
ในหัวข้อบทความนี้ เราจะได้รู้จักกับนักเตะผู้ที่ทำประตูให้กับทีมชาติไทยได้มากที่สุด ตลอดประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลไทย มาดูกันว่าใครคือยอดนักเตะที่สร้างประวัติศาสตร์และความยิ่งใหญ่ให้กับทีมชาติไทย และประตูสำคัญที่ทำให้พวกเขากลายเป็นตำนานในวงการฟุตบอลไทย
ประวัติของ 10 นักเตะทีมชาติไทย ที่ทำประตูสูงสุด
1. ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน (103 ประตู): ประวัติและการเป็นตำนาน
ประวัติและชีวิตส่วนตัว
ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน หรือ “ตุ๊ก” เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 ที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นบุตรของ ร้อยเอกพล และ นางบุญยิ่ง ผิวอ่อน จบการศึกษาจากโรงเรียนศรีวิชัยวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม และโรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โดยมีความสามารถทางฟุตบอลสูงจนได้รับโควตานักฟุตบอล ศึกษาต่อที่โรงเรียนจ่าอากาศ
ปิยะพงษ์สมรสแล้ว มีบุตรสองคนคือ พ.ต. ภาณุพงศ์ ผิวอ่อน (เต้ย) ผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตบอล และ พงษ์พิสุทธิ์ ผิวอ่อน (แตงโม) อดีตนักกีฬาฟุตบอล เขารับราชการทหารอากาศจนเกษียณอายุราชการในชั้นยศ “นาวาอากาศเอก” สังกัดกรมสวัสดิการทหารอากาศ กองทัพอากาศ
ผลงานในทีมชาติ
ปิยะพงษ์เริ่มต้นเล่นฟุตบอลในทีมชุดเยาวชนของสโมสรฟุตบอลทหารอากาศ เมื่อปี พ.ศ. 2522 หลังจากนำทีมชนะเลิศจึงได้เลื่อนขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ และในปี พ.ศ. 2523 เป็นดาวซัลโวสูงสุดในการแข่งขัน ในปีต่อมาได้รับการคัดเลือกให้มาเล่นกับทีมชาติไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2524 – 2540 รวม 17 ปี โดยการติดทีมชาติครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524 ในรายการเพสซิเด้นท์ คัพ ที่เกาหลีใต้
ในระดับสโมสร ปิยะพงษ์ยังได้ร่วมงานกับสโมสรลักกีโกลด์สตาร์ (ปัจจุบันคือสโมสรฟุตบอลโซล) ของเคลีกในเกาหลีใต้ เป็นเวลา 2 ปี และย้ายไปเล่นต่อให้สโมสรปะหัง ของมาเลเซีย ปิยะพงษ์ ผิวอ่อนทำประตูในนามทีมชาติชุดใหญ่ในเกมส์ที่ฟีฟ่ารับรองทั้งหมด 15 ประตู แต่หากนับรวมทุกลูกที่เขายิงให้กับทัพช้างศึกได้ตลอด 16 ปี เขาคือดาวยิงหมายเลขหนึ่งอย่างแท้จริงเมื่อระเบิดตาข่ายไปถึง 103 ประตู ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาใครมาทำลายสถิตินี้ลงได้
ความสำเร็จและเกียรติประวัติ
ปิยะพงษ์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีความสามารถสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลไทย ไม่เพียงแต่การทำประตูที่มากมายเท่านั้น แต่ยังมีความสำเร็จร่วมกับทีมชาติไทยอีกหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นการคว้าแชมป์คิงส์คัพ 5 สมัย และแชมป์ซีเกมส์ 5 สมัย นอกจากนี้ ปิยะพงษ์ยังมีบทบาทในการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย ทั้งในฐานะผู้ฝึกสอนและผู้จัดการทีม โดยเขาเคยเป็นผู้จัดการทีมสิงห์ออลสตาร์ในปี พ.ศ. 2556 เมื่อครั้งที่พบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และเชลซี ในการแข่งขันครบรอบ 80 ปี บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่
2. เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (69 ประตู): ประวัติและการเป็นขวัญใจแฟนบอล
ประวัติและชีวิตส่วนตัว
ร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือ “ซิโก้” เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2516 ที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี แต่ภายหลังได้ย้ายมาอาศัยอยู่ที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งถือเป็นบ้านเกิดที่แท้จริงของเขา ซิโก้เป็นบุตรคนสุดท้องจากทั้งหมดสามคนของสุริยา (บิดา) และริสม (มารดา) มีพี่สาวสองคน
ซิโก้เริ่มศึกษาที่โรงเรียนบ้านหนองแดง อำเภอกุมภวาปี จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากนั้นย้ายมาศึกษาต่อที่โรงเรียนน้ำพองศึกษา อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น และจบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 6 จากนั้นย้ายเข้ามาศึกษาต่อที่กรุงเทพมหานครในระดับอนุปริญญา สาขาการบัญชีที่โรงเรียนพาณิชยการกรุงเทพ และจบการศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นอกจากนี้ยังจบการศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการกีฬา จากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
ผลงานในทีมชาติ
เกียรติศักดิ์ เสนาเมืองเริ่มต้นการแข่งขันฟุตบอลระดับประเทศครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยติดทีมชาติไทยชุดเยาวชนไปแข่งขันที่ประเทศมาเลเซีย และต่อมาในปี พ.ศ. 2536 ก็ขึ้นไปติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ครั้งแรกในการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 24 และตามด้วยการแข่งขันฟุตบอลเมอร์ไลออนคัพ ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยสามารถยิงประตูแรกให้กับทีมชาติไทยชุดบีเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2536 ทำให้ชนะทีมชาติโปแลนด์ 1 ประตูต่อ 0
ซิโก้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีความสามารถสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย ด้วยการทำประตูสูงสุดให้แก่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่ 71 ประตูจากการลงเล่น 134 นัดในเกมการแข่งขันที่ฟีฟ่ารับรอง แต่ถ้ารวมทุกประตูที่ทำได้ทั้งหมดจะอยู่ที่ 85 ประตู โดยนัดสุดท้ายที่ซิโก้ลงเล่นกับทีมชาติไทยคือเกมกระชับมิตรที่พบกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งเสมอกันที่ 1-1
ซิโก้มีชื่อเสียงในการแสดงความดีใจด้วยการกระโดดตีลังกาเมื่อทำประตูได้ ซึ่งสื่อมวลชนสายกีฬาจึงตั้งฉายาให้ว่า “จอมตีลังกา” เขามีชื่อติดอันดับที่ 10 ของนักเตะที่ยิงประตูสูงสุดในนามทีมชาติ โดยในระหว่างปี พ.ศ. 2535–2550 ซิโก้ติดทีมชาติ 131 นัด ยิง 70 ประตู ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยโดย “เดอะ มิเรอร์” สื่อชั้นนำของประเทศอังกฤษ
การเป็นผู้ฝึกสอน
หลังจากจบอาชีพนักฟุตบอลในปลายปี พ.ศ. 2550 ซิโก้ได้ริเริ่มโครงการ “ซิโก้ทิปส์ สัญจร” เพื่อฝึกสอนฟุตบอลแก่เยาวชนทั่วประเทศ และผลิตรายการฝึกสอนทักษะฟุตบอลทางโทรทัศน์ ต่อมาเขาผ่านการอบรมผู้ฝึกสอนระดับบี (B Licence) ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2549 และเริ่มเป็นผู้ฝึกสอนครั้งแรกในปีเดียวกันกับสโมสรฮหว่างอัญซาลาย (ฮอง อันห์ ยาลาย) ในวี-ลีกของเวียดนาม
ในปี พ.ศ. 2556 สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้แต่งตั้งให้ซิโก้เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี และนำทีมคว้าเหรียญทองในซีเกมส์ครั้งที่ 27 ที่ประเทศพม่า ในปี พ.ศ. 2557 ซิโก้พาทีมชาติไทยคว้าอันดับ 4 ในเอเชียนเกมส์ที่เกาหลีใต้ และในปีเดียวกันพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบ 12 ปี
ในปี พ.ศ. 2559 ซิโก้พาทีมชาติไทยคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์รายการนี้ 2 สมัยติดกัน แต่ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 3 ซิโก้ทำผลงานไม่ดีนัก และประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560 หากคุณชื่นชอบซิโก้คุณสามารถอ่านแนวคิดดีๆ ของเขาได้ที่บทความ ข้อคิดดีๆ จากซิโก้
3. นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ (55 ประตู): ประวัติและยุคโอลิมปิก 1968
ประวัติและชีวิตส่วนตัว
นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ หรือที่แฟนบอลรู้จักกันในนาม “ต๋อง” เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2490 ที่จังหวัดพิษณุโลก นิวัฒน์เริ่มต้นเล่นฟุตบอลตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาในตำแหน่งผู้รักษาประตูที่โรงเรียนจ่าการบุญ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนมาเล่นเป็นกองหน้าเมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม โดยสามารถพาทีมครองแชมป์รุ่นจิ๋วของจังหวัดได้ 3 ปีซ้อน
เมื่อปี พ.ศ. 2507 นิวัฒน์ได้ย้ายเข้ามาศึกษาต่อที่กรุงเทพมหานคร และศึกษาที่โรงเรียนพลานามัย (ปัจจุบันคือ สถาบันการพลศึกษา) ซึ่งทำให้เขามีโอกาสลงเล่นในรายการฟุตบอลระดับอุดมศึกษา แต่ในปีถัดมาเมื่อทางวิทยาลัยพลศึกษางดส่งทีมเข้าแข่งขัน นิวัฒน์จึงย้ายไปเล่นให้กับทีมของโรงเรียนปานะพันธุ์ ซึ่งเป็นสถาบันฟุตบอลชื่อดังในวงการลูกหนังไทย
ยุคโอลิมปิก 1968
นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีบทบาทสำคัญในการพาทีมชาติไทยเข้าสู่รอบสุดท้ายของโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1968 ที่ประเทศเม็กซิโก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในยุคทองของฟุตบอลไทย การแข่งขันในโอลิมปิกครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่มีค่าและสำคัญสำหรับทีมชาติไทย ซึ่งทำให้นิวัฒน์ได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในขุนพลสำคัญของทีม นอกจากการเล่นในโอลิมปิกแล้ว นิวัฒน์ยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สามารถทำประตูให้กับทีมชาติไทยได้มากที่สุด โดยเขาทำประตูรวมถึง 55 ประตูในการลงเล่นให้กับทีมชาติ ซึ่งเป็นสถิติที่ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “สิงห์สนามศุภ”
ผลงานในทีมชาติ
นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ เริ่มเล่นให้กับทีมชาติไทยในปี พ.ศ. 2509 และเล่นต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2522 ตลอดเวลาที่เล่นให้กับทีมชาติ นิวัฒน์เป็นที่รู้จักในฐานะนักเตะที่มีความสามารถในการทำประตูสูง โดยเขาสามารถทำประตูให้กับทีมชาติไทยถึง 55 ประตู ซึ่งเป็นสถิติที่ยากจะทำลาย ในช่วงเวลาที่เล่นให้กับทีมชาติ นิวัฒน์ได้ร่วมทีมคว้าแชมป์หลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันในระดับภูมิภาคหรือระดับนานาชาติ และได้สร้างชื่อเสียงให้กับทีมชาติไทยในวงการฟุตบอลทั่วโลก
4. ธีรศิลป์ แดงดา (47 ประตู): ประวัติและเส้นทางการเล่นฟุตบอล
ประวัติและชีวิตส่วนตัว
ธีรศิลป์ แดงดา หรือ “มุ้ย” เกิดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ที่จังหวัดสุรินทร์ บิดาชื่อ พ.อ.อ.ประสิทธิ์ แดงดา และมารดาชื่อกาญจนา ธีรศิลป์มีน้องสาวหนึ่งคนชื่อ ธนีกาญจน์ แดงดา ซึ่งเป็นนักฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยเช่นกัน ธีรศิลป์สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ที่นี่เองที่เขาได้เป็นนักฟุตบอลเยาวชนและได้รับคำชมจากผู้ฝึกสอนว่าเป็นนักฟุตบอลที่เก่งและสามารถเคลื่อนไหวไปกับลูกบอลได้อย่างรวดเร็ว
เส้นทางการเล่นฟุตบอล
- จ่าอากาศและราชประชา: ธีรศิลป์เริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสรฟุตบอลโรงเรียนจ่าอากาศในไทยลีกดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2547/48 ตอนอายุ 17 ปี และทำประตูได้ 3 ประตูจากการลงเล่นแค่ 6 นัด ต่อมาในปี พ.ศ. 2549 ย้ายไปเล่นให้ราชประชา เอฟซี และทำประตูได้ถึง 9 ประตูจากการลงเล่น 18 นัด
- เมืองทอง ยูไนเต็ด (ครั้งที่ 1): ธีรศิลป์ย้ายมาเล่นให้เมืองทอง ยูไนเต็ดในไทยลีกดิวิชั่น 2 ปี พ.ศ. 2550 และมีส่วนในการนำทีมคว้าแชมป์ไทยลีกดิวิชั่น 2 ในฤดูกาลนี้
- เมืองทอง ยูไนเต็ด (ครั้งที่ 2): ธีรศิลป์กลับมาเซ็นสัญญาย้ายมาร่วมทีมเมืองทอง ยูไนเต็ดในปี พ.ศ. 2552 และช่วยทีมคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งในฤดูกาล 2553
- ซานเฟรซ ฮิโรชิมะ และ ชิมิซุ เอส-พัลส์: ธีรศิลป์ย้ายไปเล่นในเจลีกกับซานเฟรซ ฮิโรชิมะและชิมิซุ เอส-พัลส์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขาได้พัฒนาทักษะการเล่นในลีกต่างประเทศ
- อูเด อัลเมริอา: ในปี พ.ศ. 2557 ธีรศิลป์ถูกยืมตัวไปเล่นกับอูเด อัลเมริอาในลาลิกาของสเปน ทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลไทยคนแรกที่ได้ลงเล่นในลีกสูงสุดของสเปน
- บีจี ปทุม ยูไนเต็ด: ปัจจุบันธีรศิลป์เล่นให้กับบีจี ปทุม ยูไนเต็ดในไทยลีก ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมชั้นนำของประเทศ
ผลงานในทีมชาติ
ธีรศิลป์ แดงดาเป็นนักฟุตบอลที่มีผลงานที่ยอดเยี่ยมกับทีมชาติไทย โดยเขาสามารถทำประตูได้ทั้งหมด 47 ประตูในการแข่งขันระดับนานาชาติ ซึ่งทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ทำประตูสูงสุดให้กับทีมชาติไทย ผลงานที่โดดเด่นของธีรศิลป์กับทีมชาติไทยรวมถึงการนำทีมคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพหลายสมัย และการเข้าร่วมแข่งขันในรายการสำคัญต่างๆ เช่น ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก และการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย
5. เจษฎาภรณ์ ณ พัทลุง (42 ประตู): ประวัติและความสำเร็จในทีมชาติ
ประวัติและชีวิตส่วนตัว
เจษฎาภรณ์ ณ พัทลุง หรือที่รู้จักกันในนาม “สุภาพบุรุษลูกหนัง” เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2495 ที่จังหวัดพัทลุง เขาเป็นนักฟุตบอลที่มีความสามารถและเป็นที่รักของแฟนบอล ด้วยทักษะการเล่นที่ยอดเยี่ยมและความสามารถในการทำประตู เจษฎาภรณ์มีบทบาทสำคัญในวงการฟุตบอลไทยในช่วงปี พ.ศ. 2514 ถึง พ.ศ. 2525
ความสำเร็จในทีมชาติ
เจษฎาภรณ์เริ่มต้นการเล่นให้กับทีมชาติไทยในปี พ.ศ. 2514 โดยลงสนามครั้งแรกในรายการแข่งขันซีเกมส์ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเขาสามารถทำประตูได้และช่วยให้ทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองในการแข่งขันครั้งนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2515 ถึง พ.ศ. 2525 เจษฎาภรณ์เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีผลงานยอดเยี่ยมที่สุดของทีมชาติไทย ด้วยการทำประตูให้กับทีมชาติถึง 42 ประตู ซึ่งทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ทำประตูสูงสุดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติไทย นอกจากนี้ เจษฎาภรณ์ยังมีส่วนร่วมในการแข่งขันที่สำคัญหลายรายการ เช่น เอเชียนคัพ และการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการนำทีมชาติไทยเข้าสู่รอบลึกๆ ของการแข่งขัน
ผลงานในทีมชาติ
เจษฎาภรณ์ ณ พัทลุง เป็นนักเตะที่มีความสามารถในการทำประตูสูง และมีความสำคัญในการนำทีมชาติไทยคว้าแชมป์หลายรายการ ตลอดเวลาที่เล่นให้กับทีมชาติ เจษฎาภรณ์ได้แสดงความสามารถและความมุ่งมั่นในการแข่งขัน ซึ่งทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนบอลและเพื่อนร่วมทีม ผลงานที่โดดเด่นของเจษฎาภรณ์รวมถึงการทำประตูสำคัญในการแข่งขันซีเกมส์หลายสมัย ซึ่งเขาได้ช่วยให้ทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองในการแข่งขันเหล่านี้ นอกจากนี้ เจษฎาภรณ์ยังมีบทบาทสำคัญในการแข่งขันเอเชียนคัพ และการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย ซึ่งเขาได้ช่วยให้ทีมชาติไทยทำผลงานได้ดีและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ หากคุณสนใจวงการฟุตบอลไทยคุณอาจสนใจบทความ ค่าตัวนักบอลไทยลีก
6. วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ (32 ประตู): ประวัติและฉายา “สิงโตเผือกจากปากน้ำ”
ประวัติ
ร้อยตำรวจโท วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ที่จังหวัดนครสวรรค์ เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลเมื่ออายุ 18 ปี ภายใต้การฝึกสอนของนายวิทยา วาจาบัณฑิตย์ โดยในตำแหน่งแรกที่เล่นคือผู้รักษาประตู ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเล่นในตำแหน่งกองหน้า ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทำให้เขามีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในวงการฟุตบอล
วิฑูรย์เริ่มมีชื่อเสียงมาจากการลงเล่นให้กับทีมนครสวรรค์ในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2524 ซึ่งทีมนครสวรรค์คว้าเหรียญทองได้สำเร็จ ต่อมาในรายการฟุตบอลไทยแลนด์ คัพ ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2527 เขาลงเล่นในตำแหน่งกองหน้าแทนผู้เล่นที่บาดเจ็บ และสามารถยิงได้ถึง 5 ประตู พร้อมนำทีมนครสวรรค์คว้าแชมป์ และรับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมและผู้ทำประตูสูงสุด รวม 9 ประตู จนได้รับฉายา “สิงโตเผือกปากน้ำโพ”
ผลงานในทีมชาติ
ในปี พ.ศ. 2527 วิฑูรย์ถูกเรียกตัวติดทีมชาติไทยครั้งแรกในทีมชาติชุดปรี-เวิลด์คัพ ที่ประเทศเกาหลีใต้ ภายใต้การควบคุมทีมของนายประวิทย์ ไชยสาม ซึ่งในครั้งนี้ทีมชาติไทยตกรอบแรก แต่ในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2528 ทีมชาติไทยชนะทีมบังคลาเทศ 3-0 และวิฑูรย์ทำประตูแรกได้สำเร็จ นับแต่นั้นเป็นต้นมา การประกาศรายชื่อนักฟุตบอลทีมชาติก็จะต้องมีชื่อวิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ร่วมทีมเสมอ
วิฑูรย์มีผลงานในการเล่นให้กับทีมชาติไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 ถึง พ.ศ. 2538 รวมทั้งสิ้น 10 ปี โดยในช่วงเวลานั้นเขาลงเล่นให้ทีมชาติมากกว่า 150 นัด และทำประตูให้กับทีมชาติไทยได้ทั้งหมด 32 ประตู ความสำเร็จที่สำคัญของวิฑูรย์ในทีมชาติไทยประกอบด้วยการคว้าแชมป์คิงส์คัพ 1 สมัยในปี พ.ศ. 2532 และแชมป์ซีเกมส์ 2 สมัยในปี พ.ศ. 2536 และ 2538 นอกจากนี้ วิฑูรย์ยังเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้เล่นในลีกต่างประเทศ ร่วมกับปิยะพงษ์ ผิวอ่อน และอรรถพล บุษปาคม ในสังกัดสโมสรปะหังและสโมสรปีนังในประเทศมาเลเซีย
ความสำเร็จในระดับสโมสร
วิฑูรย์ได้ลงแข่งขันในหลายสโมสรในประเทศไทย รวมถึงสโมสรถาวรฟาร์มและสโมสรราชประชา ซึ่งเขาสามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ และยังเล่นให้กับสโมสรตำรวจ ภายใต้การชักชวนของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ซึ่งเป็นทีมสุดท้ายที่เขาเล่นในประเทศไทย
7. วรวุฒิ ศรีมะฆะ (29 ประตู): ประวัติและยุคทองของทีมชาติไทย
ประวัติและชีวิตส่วนตัว
วรวุฒิ ศรีมะฆะ หรือที่รู้จักกันในนาม “โย่ง” หรือ “โจ” เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวไทยในตำแหน่งกองหน้า เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคให้กับโปลิศ เทโร ในไทยลีก วรวุฒิเริ่มต้นเส้นทางการเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อย และพัฒนาฝีมือจนกลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของทีมชาติไทย
ยุคทองของทีมชาติไทย
วรวุฒิ ศรีมะฆะ ถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีบทบาทสำคัญในยุคทองของทีมชาติไทยในช่วงปี 1990s ถึงต้นปี 2000s เขาทำประตูให้ทีมชาติไทยไปทั้งสิ้น 29 ประตู และมีส่วนสำคัญในการนำทีมชาติไทยคว้าแชมป์หลายรายการ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ
ผลงานในทีมชาติ
วรวุฒิลงเล่นให้กับทีมชาติไทยระหว่างปี พ.ศ. 2535 ถึง พ.ศ. 2545 โดยเขามีผลงานที่โดดเด่นในการแข่งขันซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ และเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ซึ่งเป็นรายการแข่งขันที่ทีมชาติไทยมักทำผลงานได้ดี
- ซีเกมส์: วรวุฒิช่วยทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองซีเกมส์ในปี 1995, 1997, และ 1999 และเหรียญเงินในปี 1991
- อาเซียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ: เขามีบทบาทสำคัญในการนำทีมชาติไทยคว้าแชมป์ในปี 1996, 2000, และ 2002
- เอเชียนเกมส์: ทีมชาติไทยภายใต้การนำของวรวุฒิทำผลงานได้ดีในเอเชียนเกมส์ โดยสามารถคว้าอันดับที่ 4 ในปี 1998
- คิงส์คัพ: วรวุฒิช่วยทีมชาติไทยคว้าแชมป์คิงส์คัพในปี 1994 และ 2000
วรวุฒิยังได้รับการยกย่องจากการทำประตูได้ในนัดสำคัญหลายครั้ง รวมถึงการทำแฮตทริกในนัดชิงชนะเลิศของอาเซียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ 2000 ที่ประเทศไทยคว้าแชมป์ด้วยการชนะอินโดนีเซีย 4-1 ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สำหรับทีมชาติไทย
8. ดาวยศ ดารา (28 ประตู): ประวัติและเส้นทางการเล่นฟุตบอล
ประวัติและชีวิตส่วนตัว
ดาวยศ ดารา หรือ “กอ” เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2497 ที่จังหวัดพิษณุโลก เขาเป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยฉายา “เพชรฆาตติดหน้าหนวด” ดาวยศเป็นพี่น้องต่างบิดากับนิวัตต์ ศรีสวัสดิ์ ซึ่งเป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทยที่มีชื่อเสียงเช่นกัน
บิดาของดาวยศคือ “เหงียนอันเดื๊อก” อดีตกองหลังเอเชียของเวียดนามใต้ ดาวยศมีบุตรชาย 2 คน คือ นายพาศกร ดารา (รับราชการที่การท่าเรือฯ) และนายพงศกร ดารา (อดีตนักกีฬาฟุตบอลโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน)
เส้นทางการเล่นฟุตบอล
ดาวยศเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อย และมีพัฒนาการที่โดดเด่นในด้านทักษะการเล่นฟุตบอล เขาเริ่มมีชื่อเสียงจากการเป็นดาวซัลโวในการแข่งขันรีวาโน่คัพที่ประเทศญี่ปุ่น และการแข่งขันฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ในระดับสโมสร ดาวยศเล่นให้กับสโมสรการท่าเรือ ซึ่งเป็นสโมสรที่มีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลไทย และเขาได้สร้างผลงานที่น่าประทับใจมากมายในฐานะกองหน้า
ผลงานในทีมชาติ
ดาวยศติดทีมชาติไทยครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 21 ปี ในปี พ.ศ. 2518 และเล่นให้กับทีมชาติไทยจนถึงปี พ.ศ. 2529 ตลอดเวลาที่เขาเล่นให้กับทีมชาติ ดาวยศทำประตูให้กับทีมชาติไทยไปทั้งสิ้น 28 ประตู หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของดาวยศคือการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพในปี พ.ศ. 2522 ในแมตซ์การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศระหว่างทีมชาติไทยและเกาหลีใต้ ดาวยศทำประตูให้กับทีมชาติไทยในเพียงประตูเดียวที่ทำให้ทีมชาติไทยคว้าแชมป์ไปครอง นอกจากนี้ ดาวยศยังได้ลงเล่นให้กับทีมชาติไทยในรายการฟุตบอลโลก 1982 รอบคัดเลือก ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถและทักษะที่ยอดเยี่ยมของเขาในระดับนานาชาติ
9. ศรายุทธ ชัยคำดี (26 ประตู): ประวัติส่วนตัวและฉายา “โจ้ห้าหลา”
ประวัติส่วนตัวและฉายา “โจ้ห้าหลา”
ศรายุทธ ชัยคำดี หรือ “โจ้” เกิดเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2524 ที่จังหวัดขอนแก่น เขาเป็นอดีตนักฟุตบอลชาวไทยในตำแหน่งกองหน้า ศรายุทธมีฉายาว่า “โจ้ 5 หลา” เนื่องจากความสามารถในการทำประตูในระยะใกล้เสมอ และได้รับการยกย่องว่าเป็นเหมือน Marco van Basten แห่งประเทศไทย เขาเคยถูกเสนอชื่อให้เป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในอาเซียนถึง 3 สมัย และเคยคว้ารางวัลดาวซัลโวไทยพรีเมียร์ลีกได้ 2 สมัย
เส้นทางการเล่นฟุตบอล
ศรายุทธเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเริ่มต้นจากการเล่นตะกร้อและฟุตบอลในโรงเรียน ต่อมาได้เดินทางมาทดสอบฝีเท้ากับสโมสรฟุตบอลทหารอากาศและได้ลงแข่งขันในรายการเยาวชนควีนส์คัพในปี พ.ศ. 2542 หลังจากจบทัวร์นาเมนต์เยาวชนควีนส์คัพ ศรายุทธได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพครั้งแรกกับสโมสรการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ โดยสร้างผลงานการยิงประตูได้อย่างโดดเด่น คว้าตำแหน่งดาวซัลโวไทยลีกฤดูกาล 2545/46 และ 2547/48 ศรายุทธได้ย้ายไปเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลบินห์ดินห์ในวี-ลีก ประเทศเวียดนามในปี พ.ศ. 2548 และช่วยพาทีมหนีตกชั้นได้สำเร็จ นอกจากนี้ยังได้เล่นให้กับหลายสโมสรในไทยพรีเมียร์ลีก เช่น โอสถสภา บางกอกกล๊าส อาร์มี่ ยูไนเต็ด บีอีซี เทโรศาสน และสมุทรสงคราม เอฟซี
ผลงานในทีมชาติ
ในระดับทีมชาติ ศรายุทธ ชัยคำดี เคยพาทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปี คว้าเหรียญทองในกีฬาซีเกมส์ 2003 ที่ประเทศเวียดนาม พร้อมกับคว้ารางวัลดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ไปครองโดยยิงไปถึง 9 ประตู นับเป็นนักฟุตบอลชาวไทยที่ยิงประตูได้มากที่สุดในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์หนึ่งสมัย สำหรับทีมชาติชุดใหญ่ ศรายุทธติดทีมชาติไทยทั้งหมด 49 นัด ยิงได้ 31 ประตู และได้เป็นตัวแทนทีมชาติในการแข่งขันหลายรายการ รวมถึงการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพและฟุตบอลโลก 1982 รอบคัดเลือก ศรายุทธ ชัยคำดี ประกาศยุติการเป็นนักเตะเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2560 หลังจากเล่นให้กับขอนแก่น ยูไนเต็ด ในไทยลีก ดิวิชัน 1 เป็นสโมสรสุดท้าย
10. เทิดศักดิ์ ใจมั่น (26 ประตู): ประวัติส่วนตัวและอาชีพการค้าแข้ง
ประวัติส่วนตัว นักเตะทีมชาติไทย
เทิดศักดิ์ ใจมั่น หรือ “ป๊อป” เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2516 ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่สาวหนึ่งคน และบิดามารดาทั้งสองเป็นครูสอนหนังสือในจังหวัดสุพรรณบุรี เทิดศักดิ์เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 6 ปี ขณะศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษา และมัธยมศึกษาในอำเภอสามชุก ในปี พ.ศ. 2532 เทิดศักดิ์ย้ายมาเรียนที่พณิชยการราชดำเนินในกรุงเทพฯ และได้เล่นฟุตบอลในรุ่นอายุ 16 ปีของโรงเรียน เมื่อจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2534 เขาได้เริ่มต้นเส้นทางการค้าแข้งในฟุตบอลอาชีพ
อาชีพการค้าแข้ง
เทิดศักดิ์เริ่มต้นอาชีพการค้าแข้งกับสโมสรตลาดหลักทรัพย์ฯ (ต่อมาคือสโมสรกรุงเทพมหานคร) และเป็นนักฟุตบอลตัวหลักของทีมจนถึงปี พ.ศ. 2543 หลังจากนั้นได้ย้ายไปร่วมทีมบีอีซี เทโรศาสน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้รับความนิยมและความสำเร็จมากมาย ในปี พ.ศ. 2545 เทิดศักดิ์ถูกยืมตัวไปเล่นให้กับสโมสรสิงคโปร์อาร์มฟอร์ซ และทำผลงานยอดเยี่ยม โดยพาสโมสรคว้าแชมป์เอสลีกของสิงคโปร์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2547 ย้ายร่วมทีมด็อง เอ แบงก์ ก่อนกลับมาร่วมทีมสิงคโปร์อาร์มฟอร์ซ และลงเล่นให้ทีมนี้ถึงปี พ.ศ. 2553 ในปีนั้นเทิดศักดิ์ย้ายกลับมาเล่นในประเทศไทยกับสโมสรชลบุรี และในปลายปี พ.ศ. 2558 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสร
ผลงานในทีมชาติ
เทิดศักดิ์ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมชาติไทยในไทเกอร์คัพ ปี พ.ศ. 2545 และพาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ พร้อมกับได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของรายการ ในการแข่งขันนามทีมชาติ เทิดศักดิ์ทำประตูได้ทั้งหมด 26 ประตู และเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาฟุตบอลไทย
สรุปแล้ว การทำประตูในกีฬาฟุตบอลเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากมันไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความสนุกสนานและความตื่นเต้นให้กับผู้ชม แต่ยังเป็นตัวชี้วัดความสามารถและความสำเร็จของนักเตะและทีมอีกด้วย ในบทความนี้เราได้พาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับ 10 นักเตะทีมชาติไทย ที่ทำประตูได้สูงสุดตลอดกาล แต่ละคนมีเรื่องราวและความสำเร็จที่น่าประทับใจ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักฟุตบอลรุ่นใหม่และแฟนบอลชาวไทยตลอดมา
คำถามที่พบบ่อย
1. ใครคือ นักเตะทีมชาติไทย ที่ทำประตูได้สูงสุดตลอดกาล?
นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ คือผู้ที่ทำประตูได้สูงสุดตลอดกาลของทีมชาติไทย โดยทำได้ทั้งหมด 55 ประตู
2. ทำไมการทำประตูถึงมีความสำคัญในกีฬาฟุตบอล?
การทำประตูเป็นสิ่งที่กำหนดผลลัพธ์ของเกม และเป็นการแสดงถึงทักษะและความสามารถของนักเตะในการทำให้ทีมชนะการแข่งขัน
3. นักเตะคนไหนที่เคยเล่นในลีกต่างประเทศบ้าง?
นักเตะหลายคนเคยเล่นในลีกต่างประเทศ เช่น ธีรศิลป์ แดงดา ที่เคยเล่นในเจลีกของญี่ปุ่นและลาลีกาของสเปน.
4. การทำประตูในระดับทีมชาติแตกต่างจากในสโมสรอย่างไร?
การทำประตูในระดับทีมชาติมีความสำคัญเนื่องจากเป็นการแสดงถึงความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ และมีผลต่อชื่อเสียงและเกียรติยศของประเทศ