การแข่งขันกีฬาฟุตบอลสำหรับทีมชาติไทยนั้นมีแมทช์การแข่งขันเกิดขึ้นมามากมายนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทุกแมทช์การแข่งขันล้วนมีความทรงจำที่แตกต่างกันออกไปตามสถานการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะการแข่งขันนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วการที่จะมีแมทช์แห่งประวัติศาสตร์ ก็ต้องแยกออกมาอีกว่าประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในครั้งนั้นเป็นแมทช์การแข่งขันที่ดีหรือไม่ดี เพราะฟุตบอลเป็นกีฬสลูกกลมๆ ที่อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ในตลอดเวลา 90 นาที ถ้าหากแมทช์ประวัติศาสตร์นั้น เป็นการบันทึกชัยชนะของทีมชาติไทยเท่ากับว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่สวยงาม หากจะซ้ำรอยอีกสักครั้งหรือสองครั้ง ก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร คุณอาจสนใจบทความที่เกี่ยวข้อง คลิกที่นี่ นักเตะไทยที่เก่งที่สุดระดับตำนาน
และแน่นอนว่าการที่จะก่อเกิดประวัติศาสตร์ได้ ไม่ใช่เพียงแค่การบอกเล่า การเขียนบันทึกลงไปเพียงเท่านั้น ในกีฬาการแข่งขันอย่างฟุตบอล การจะเกิดแมทช์แห่งความทรงจำ แมทช์ที่น่าจดจำจนกลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์เหล่านั้น มันก่อเกิดจากผู้เล่น นักเตะทุกคนในทีม ที่ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาต่างหาก
หากเป็นความประทับใจ มันจะตราตรึงใจนักเตะและผู้ชม
ณ เวลานั้นอยู่เสมอ เมื่อเรานึกย้อนกลับไปในเกมการแข่งขันนั้น
ประวัติศาสตร์นั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องใหม่หรือเก่า หากแต่ว่าการที่เราเล่าแต่เรื่องราวการแข่งขันในแมทช์ที่พึ่งผ่านมาได้ไม่นานนัก ส่วนใหญ่คนที่ติดตามชมฟุตบอลไทยก็จะรู้เรื่องราวการแข่งขันครั้งนั้นอยู่บ้างแล้ว กลับกันการที่เราเล่าถึงแมทช์การแข่งขันที่เป็นประวัติศาสตร์ในอดีตที่ค่อนข้างผ่านมานานแล้ว จะทำให้ใครอีกหลายคนที่เกิดไม่ทัน หรือไม่ได้รับชมการแข่งขันนั้นในสมัยก่อน สามารถซึมซับความรู้สึก ของอดีตครั้งนั้นได้ ผ่านตัวอักษรที่เราได้เล่าขานถึงประวัติศาสตร์แห่งทีมชาติไทย ดังนั้นแล้วการเล่ากล่าวถึงหน้าประวัติศาสตร์ทีมชาติไทยในครั้งนี้ เราขอเล่าถึงเรื่องราวที่น่าจดจำไม่ว่าจะแมทช์ที่แสนอัปยศ หรือแมทช์ที่แสนจะมีความสุขกับชัยชนะของพวกเขา 5 แข้งไทยในอดีต ที่ได้ลงเล่นนัดอำลากับทีมชาติไทย
เพราะทุกแมทช์ที่เป็นประวิตศาสตร์
ไม่ว่าผลมันจะออกมาดีหรือไม่ดี
มันก็ควรค่าแก่การที่เราจะได้รับรู้ถึงประวัติศาสตร์เหล่านั้น
หลังจากที่เริ่มนึกว่าจะเฉลี่ยการเขียนถึงแมทช์แห่งประวัติศาสตร์ว่าจะเอาแมทช์ไหนบ้าง ก็คงต้องมีสัดส่วนแมทช์แห่งชัยชนะที่มากกว่าอยู่ก่อนแล้วจึงตามด้วยแมทช์ที่มีความอัปยศอยู่ในการแข่งขันขณะนั้น ถ้าหากพร้อมที่จะย้อนเวลากันแล้วก็ลองเลื่อนลงไปอ่านได้ที่บทความด้านล่างนี้เลย กับแมทช์ประวัติศาสตร์ที่ฟุตบอลทีมชาติไทยต้องจารึก
ไทย vs จีน (ปักกิ่งเกมส์, 1990)
แมทช์นี้ย้อนกลับไปเมื่อ 29 ปีก่อน หลายคนอาจจะยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่า หากใครเป็นแฟนบอลทีมชาติไทยละก็ ต้องรู้เรื่องราวของแมทช์การแข่งขันนี้ให้ได้ว่าทีมชาติไทยเราเองก็ไม่ใช่ย่อยเมื่อต้องไปแข่งขันกับจีน ประวัติศาสตร์ครั้งนี้เริ่มจากเอเชี่ยนเกมส์ปี 1990 ไทยเราได้อยู่กลุ่มเดียวกับ ฮ่องกง คูเวต และเยเมน
โดยช้างศึกไทยสามารถทะลุทะลวงทีมต่างๆ จนสามารถผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดสูงสุดนั้น ต้องดูที่รอบรองชนะเลิศกับวินาทีแห่งประวัติศาสตร์ ไทย พบ จีน ในครึ่งเกมแรกทั้ง 45 นาที ช้างศึกถูกรุมทึ้งอยู่ฝ่ายเดียวจนเหมือนกับจีนนั้นพับสนามเล่นอยู่ฝ่าย แต่ทว่าช้างศึกไทยอดทนได้ดีจนมาได้โอกาสสวนกลับตีไข่แตก ในนาทีที่ 51 จากการหลุดเดี่ยวของ ประเสิรฐ ช้างมูล ทำให้ไทยผ่านเข้ารอบเฉือนเอาชนะจีนไปได้ 1-0 ประตู นั่นเป็นเหตุการณ์ที่มหัศจรรย์มากสำหรับฟุตบอลทีมชาติไทย เพราะเป็นการผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศเอเชี่ยนเกมส์ได้เป็นครั้งแรก สุดท้ายสถานการณ์ในเกมนี้ ยังได้สร้างวีรบุรุษชื่อ ประเสิรฐ ช้างมูล ไว้ด้วย
ไทย vs จีน (อินชอนเกมส์, 2014)
การแข่งขันในอินชอนเกมส์นี้ถูกกุมบังเหียนด้วยตำนานตัวจริงที่ยังมีลมหายใจอยู่ คือ ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ในทีมชาติไทย ณ เวลานั้นเต็มไปด้วยดาวรุ่งมากมาย แต่พวกเขาก็สามารถผ่านเข้ารอบมาได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก ด้วยสถิติชนะต่อเนื่อง 3 นัด ยิงไปทั้งสิ้น 11 ประตู และ 3 นัดการแข่งขันนั้น เป็นนัดที่ไม่เสียประตูเลยแม้แต่ประตูเดียว หลังจากนั้น ช้างศึกไทยผ่านเข้ามาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย แล้วก็ต้องผงะไปช่วงหนึ่งสำหรับใครที่ได้รับชม และรู้ถึงคู่แข่งของเรานั่นก็คือ จีน
https://static.siamsport.co.th
อาจจะดูเป็นงานยากสำหรับซิโก้ที่จะต้องเอาชัยชนะจากทีมจีนมาให้ได้ ทว่าซิโก้ก็เซอร์ไพรส์ผู้ชม ด้วยการพาทีมช้างศึกไทย ไล่บี้ทีมขีนขนสามารถชนะไปด้วยสกอร์ที่ห่างชั้นถึง 2-0 ประตู ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ชื่อของซิโก้ และลูกทีมในชุดนั้นถูกบันทึกอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลทีมชาติไทย เพราะด้วยสภาพทีมตอนนั้น เหล่านักวิจารณ์หรือใครก็ตาม ต่างก็คิดว่าสุดท้ายแล้วช้างศึกไทยก็ต้องพ่ายให้กับมังกรจีน เป็นผลที่แน่นอนอยู่แล้ว สุดท้ายซิกโก้กลับพลิกความคิดนั้นโดยไม่สนใจคำพูดของใครแม้แต่นิดเดียว จนทำให้ตัวเขากลายเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ไทย vs อินโดนีเซีย (ไทยเกอร์คัพที่ประเทศเวียดนาม, 1998)
การแข่งขันในนัดนี้เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์แห่งความอัปยศในเรื่องราวมากมาย เนื่องจากเหตุที่ว่า ไทยกำลังขับเคี่ยวที่ 1 กับ 2 ในสายการแข่งขัน หากใครได้ที่ 1 ไปจะต้องไปเจอกับเวียดนาม ซึ่งต้องเดินทางไปที่โฮจิมินห์ แต่ด้วยระยะทางกว่า 1,730 กิโลเมตร หากนั่งรถไฟใช้เวลามากถึง 42 ชั่วโมง รองลงมาคือรถทัวร์ก็ปาเข้าไปถึง 30 ชั่วโมง หนทางที่ไวสุดคือเครื่องบิน 2 ชั่วโมง
แต่เหตุการณ์แสนอัปยศอยู่ในช่วงเกมการแข่งขัน เมื่อโค้ชเฮงกล่าวว่า ระวังว่าอินโดจะทำประตูตัวเอง เวลานั้นทุกคนสบประมาทโค้ชเฮงกันหมด แต่แล้วเหตุการณ์บ้าแบบนั้นก็เกิดขึ้นจริง เมื่อช่วงสุดท้ายของเกม ผู้เล่นอินโด ยิงเข้าประตูตัวเองโดยที่กองหน้าทีมชาติไทยยังคงเข้าสกัดบอลอยู่ ทำให้ไทยต้องไปเจอกับเวียดนาม โค้ชเฮงจึงสายตรงไปของบที่สมาคม แต่ทว่าได้คำตอบเพียงว่า ถ้าอยากเล่นต่อก็หาเงินกันเอง ทำให้ช้างศึกไทยต้องเดินทางกว่าพันกิโลเมตรด้วยรถทัวร์ และพ่ายให้กับเวียดนาม 2-0 ประตูไปในที่สุด
แมทช์ประวัติศาสตรที่ได้ยกตัวอย่างมาให้อ่านกันนี้ มีทั้งดีและไม่ดี เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นผู้เล่นในทีม โค้ช ทุกคนล้วนมีความหวังอยากให้เกิดผลดีที่สุดกับทีมชาติของตัวเองทั้งสิ้น แต่ด้วยความที่ว่าอุปสรรคมักมีหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่า พวกเขาจะสามารถฝ่าฟันมันได้จนกลายเป็นประวัติศาตร์แห่งชัยชนะ หรือพ่ายแพ้ให้กับอุปสรรคเหล่านั้นและถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์แห่งความอัปยศ