หลายครั้งที่นักเตะส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะได้ลงเล่นกับทีมชาติเพื่อรับใช้ชาติของตน เป็นนัดสุดท้ายก่อนที่จะอำลาวงการฟุตบอลไป แต่ทว่าความต้องการนั้นก็ไม่ได้ตอบรับกับนักเตะทุกคนเสมอไป สุดยอดนักเตะไทยในต่างแดน หากเป็นลีกทั่วไปในประเทศ แน่นอนอยู่แล้วว่ามีโอกาสที่จะได้ลงเล่นนัดอำลากับทีมของตนเป็นครั้งสุดท้าย แต่กับทีมชาติที่ไม่ได้มีโอกาสจะติดง่ายๆ หรือไม่ได้โอกาสในการลงเล่นด้วยปัญหาต่างๆ ถ้าหากมองย้อนกลับไป ต่อให้ผู้ที่รับชมฟุตบอลไทยมาอย่างต่อเนื่องเองก็คงจะตอบได้ยากว่าใครบ้างที่ได้ลงเล่นนัดอำลากับทีมชาติไทย เพราะนักเตะทีมชาติที่มีชื่อเสียงเองก็ไม่ได้มีน้อยๆบางคนเองก็แขวนสตั้ดกับทีมในสังกัดเพียงเท่านั้น แต่กับทีมชาตินั้นไม่ได้ลงเล่นดั่งที่หลายคนอาจจะหวังไว้ ดังนั้นความรู้สึกที่ได้ลงเล่นทีมชาติเป็นนัดสุดท้ายของชีวิตการเป็นนักฟุตบอล คงเป็นความรู้สึกที่มีเกียรติที่สุดแล้วของชีวิตนักเตะคนหนึ่ง
ดังที่กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่า ถึงแม้จะเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงในเอเชีย มีชื่อที่โด่งดังไปไกลแค่ไหนก็ตาม บางคนยังไม่มีโอกาสได้ลงเล่น แมตช์อำลากับทีมชาติเลย แต่ก็มีนักเตะอยู่เพียงไม่กี่คนที่พอจะย้อนไปเล่าถึงพวกเขา ที่ได้ลงเล่นนัดอำลากับทีมชาติ และถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะจบจากเส้นทางสายอาชีพแห่งการเป็นนักเตะไปแล้ว แต่ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับวงการฟุตบอลไทยอยู่ ทั้งผู้ประกาศข่าวกีฬา หรือแม้แต่การเป็นโค้ชเองก็เช่นกัน สุดท้ายต่อให้การลงเล่นของพวกเขาในนัดอำลาเป็นเวลาไม่นานเท่าไหร่นัก แต่เพียงเศษเวลานั้นก็ช่วยสร้างความทรงจำอันแสนมีเกียรติให้พวกเขาได้มากเป็นเท่าตัวแล้ว ดาวยิงนักเตะไทยลีก
หากใครที่ยังไม่เคยรู้จักกับพวกเขาทั้ง 5 คนที่เราจะมาเล่าให้ฟังมาก่อน
คราวนี้ก็คงถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราจะต้องรู้จักกับ 5 นักเตะ
ที่มีนัดอำลาเป็นของตัวเอง สามารถติดตามเรื่องราวของพวกเขาได้ที่บทความด้านล่างนี้เลย
ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน
ปิยะพงษ์ นั้นเป็นเพียงนักฟุตบอลโนเนมในสมัยปี 1981 ที่ไม่มีใครรู้จักเขามาก่อนทั้งเรื่องฝีเท้าและความสามารถของเจ้าตัว แต่ทว่าตัวเขาเองก็ได้รับโอกาสนั้นด้วยการแจ้งเกิดในการแข่งขัน ถ้วยพระราชทานคงส์ คัพ ปี 1981 ที่ทำประตูไปถึง 2 ประตูให้กับทีมจนมีชัยกว่าเกลาหลีเหนือด้วยผลบอลรวม 2-1 ประตู หลังจากนั้นตัวเขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และสั่นสะเทือนวงการฟุตบอลไทยอยู่พักหนึ่ง จนกองหลังทีมไหนก็ต้องกลัวกันไปหมด
https://thailandsuperstar.com/images/pix/1766630717/F_1831661018701255368.jpg
จนทำให้ตัวเขาได้ถูกเลือกเป็นหนึ่งในออลสตาร์เอเชียในปี 1982 จนได้โอกาสได้ไปโลดแล่นในถื่นโสมขาวกับทีม ลัคกี้ โกลด์ สตาร์ (เอฟซี โซล) ได้เป็นทั้งดาวซัลโวลีก ทำแอสซิสต์มากที่สุด เป็น 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยม คว้าแชมป์ลีกอีกด้วย บั้นปลายของอาชีพนักเตะของเขาถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับโอกาสลงเล่นอำลากับทีมชาติในตอนแรก แต่ก็ถูกเหล่าผู้ใหญ่ในสมาคมเรียกตัวให้กลับมาช่วยชาติอีกครั้ง ทั้งการแข็งขันซีเกมส์ปี 1993 กับ 1997 และอำลาทีมชาติ อำลาอาชีพนักเตะ ด้วยวัย 38 ปี
นที ทองสุขแก้ว
นที ทองสุขแก้วหรือ “ดำดินปืน” เขาคือยอดตำนานกองหลังของทีมชาติไทยก็ว่าได้ เป็นอีกหนึ่งนักเตะโนเนมที่ไต่เต้าขึ้นมาจากสโมสรถาวรฟาร์ม จนได้รับโอกาสเข้ารับใช้ทีมชาติเมื่อปี 1986 นักเตะอย่างดำดินปืน เรียกได้ว่าเป็นนักเตะกองหลังมหัศจรรย์คนหนึ่งที่ครบเครื่องมากๆ ตั้งแต่การแย่งบอล การเลี้ยงบอล การทำเกมพาบอลขึ้นไปจนทำประตูได้เอง
เขาประสบความสำเร็จกับทีมชาติไทยนับครั้งไม่ถ้วน กินเวลาถึง 14 ปี ติด 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมถึง 7 ครั้งจากทั้งหมด 11 ครั้ง ใช้สองเท้าของเขาทำเงินไปมูลค่ากว่าล้านบาท ตัวเขาเองสิ้นสุดกับอาชีพนักเตะกับทีมชาติไทยในปี 1999 กับทัวร์นาเมนต์ซีเกมส์ ซึ่งตัวเขาเองก็ทำได้ 1 ประตูด้วย และอำลาวงการฟุตบอลทันที
ดุสิต เฉลิมแสน
ดุสิตเป็นนักเตะกองกลางแนวรุกที่ทักษะและพรสวรรค์ที่อันตรายกับทีมตรงข้ามอย่างมากเมื่อพบเจอ แต่เขาก็เล่นในตำแหน่งนั้นได้ไม่นานเมื่อถูกปรับเปลี่ยนมาเล่นตำแหน่งแบ็คซ้ายในปี 1996 เอชียนคัพ แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรหมด เพราะตัวเขาทำหน้าที่ในตำแหน่งใหม่ได้ดีกว่าตำแหน่งเดิมจนเหมือนกับว่าเป็นคนละคน เขาคือหนึ่งในนักเตะที่ได้รับเลือกให้เป็นนักเตะออลสตาร์เอเชียในปี 1997 ยังได้เข้าร่วมเกมการแข่งขันนัดรวมสตาร์โลกและเอเชียที่ฮ่องกงในปีนั้นด้วย
http://www.bgputd.com/official/images/news/563_DSC_2219.jpg
เป็นนักเตะอีกหนึ่งรายที่รับใช้ทีมชาติมาอย่างยาวนานถึง 13 ปีพร้อมประสบความสำเร็จมากมายเช่นกัน แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีนัดอำลาเป็นของตัวเองเนื่องด้วย การมีปัญหากับ คาร์ลอส โรแบร์โต้ คาร์วัญโญ่ หลังแพ้เกาหลีเหนือ 1-4 ประตูในปี 2004 ทำให้เป็นนักเตะอีกหนึ่งคนที่ปิดฉากอาชีพนักเตะได้ไม่สวยงามเท่าไหร่นัก
วิทยา เลาหกุล
นักเตะรายนี้เป็นหนุ่มแดนเหนือที่มีการฝึกฝนทักษะฟุตบอลด้วยตัวเอง จนได้รับโอกาสเข้าร่วมกับทีม ตราชฎา ราชประชา หลังจากที่ได้เข้าร่วมทีมและเดินทางเข้าสู่เมืองกรุง ตัวเขาแทบจะหายใจเข้าออกเป็นฟุตบอลเลยก็ว่าได้ ณ เวลานั้นที่ตัวเขาเริ่มฉายแววเก่ง จนทำให้โค้งของราชประชาในเวลานั้น ผลักดันตัวเขาให้ได้สวมเสื้อทีมชาติไทย ช่วงปี 1975-1986 และกลายเป็นว่าเมื่อลงเล่นให้ทีมชาติ
ความสามารถของเขาได้พาเขาไปถึงแดนปลาดิบ ร่วมกับทีม เซเรโซ โอซาก้า แต่ก็ไม่ถูกใจเจ้าตัวเท่าไหร่นัก จนกลับมาถิ่นบ้านเกิดอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกเอเยนต์ชี้แนะให้ไปเล่นบอลในต่างแดนอีกครั้ง ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งในขณะที่ไปเป็นนักเตะที่เยอรมนี ตัวเขาเองก็ได้ไปลงเรียนโค้ช ที่เมืองโคโลญน์ไว้ด้วย แม้จะเป็นตัวหลักให้กับทีมชาติมาหลายสมัย แต่ตัวเขาก็ไม่เคยสัมผัสกับถ้วยคิงส์คัพ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
เฉลิมวุฒิ สง่าพล
คนสุดท้ายกับผู้เป็นเจ้าของฉายา “เกล็น ฮอดเดิ้ล เมืองไทย” นักเตะคนนี้ได้เข้าไปร่วมเล่นให้กับทีมชาติในช่วงปี 1981 ตัวเขามีทักษะในการเล่นฟุตบอลที่ค่อนข้างแม่นยำ แต่ต้องประสบปัญหาอยู่บ่อยครั้งที่ทำให้เข้าไม่ได้ลงสนามเพราะ อาการบาดเจ็บ รวมถึงนัดสุดท้ายของเขาด้วยเช่นกัน
แต่ในอดีตเขาเองก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาแล้วนับไม่ถ้วน ทั้งคิงส์ คัพ เหรียญทองซีเกมส์ แม้กระทั่งนักเตะออลสตาร์เองก็ได้เป็นด้วยเช่นกัน ถัดมาในปี 1986 เขาได้รับเชิญให้ไปลงเล่นให้กับการแข่งขันพิเศษที่กาตาร์อีกด้วย และสุดท้ายตัวเขาเองก็ต้องอำลาทีมชาติโดยที่มีอาการบาดเจ็บหัวเข่าในปี 1992 ไปในที่สุด
ใครก็ตามที่ได้ลงเล่นนัดอำลาอย่างสมบูรณ์แบบ นับได้ว่าเป็นการปิดอาชีพนักเตะได้อย่างมีเกียรติและสวยงาม แต่ทว่ากับนักเตะบางรายที่ถึงแม้จะมีโอกาส แต่ก็มีปัญหาที่เข้ามาขัดขวางการลงเล่นบ้าง ทั้งการทะเลาะเบาะแว้งมีปัญหากับผู้อื่น หรือการที่ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถลงเล่นได้ แต่พวกเขาเองก็ได้ฝากผลงานและความสามารถที่น่ายกย่องเอาไว้ให้พวกเราได้รับรู้กันเท่านี้ ก็ถือว่ามีเกียรติมากแล้วกับวงการฟุตบอลไทย