นาฬิกาเดินผ่านไปทุกวันๆ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนกับเราเสมอว่าสิ่งต่างๆ ย่อมเดินไปข้างหน้า และต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะด้านไหนๆ ก็ตาม โดยปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีต่างๆ ก็ได้มีการพัฒนากันอย่างมากขึ้น ทำให้เกิดความสะดวกสบายต่อผู้ใช้งานอย่างเราๆ มากยิ่งขึ้น ในวงการฟุตบอลก็เช่นเดียวกัน ที่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่พลิกประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอย่าง VAR (Video Assistant Referee)
จากเดิมที่การแข่งขันฟุตบอล จะต้องพึ่งแต่สายตาของกรรมการเพียงอย่างเดียว ในการตัดสินถูกหรือผิด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ขนาดเครื่องจักรที่ถูกป้อนคำสั่งไว้เป็นอย่างดี ก็ยังสามารถที่จะทำงานผิดพลาดได้ การทำงานของคนก็เช่นกัน ที่อาจจะเกิดความผิดพลาดได้ทุกเมื่อ ซึ่งแน่นอนว่าคุณอาจจะเคยประสบกับปัญหาการตัดสินของกรรมการที่ค้านสายตาของเราเป็นอย่างยิ่ง เจ้าเทคโนโลยี VAR นี่จะ ที่จะมาแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้น เพื่อเพิ่มความบริสุทธิ์ของการตัดสินและความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ไทยลีกอายุ 30 ยังลุยได้ อ่านต่อที่นี่ ไทยลีก มีกี่ทีมที่นักเตะ อายุ 30+ ยังลุยได้
VAR (Video Assistant Referee) ระบบถ่ายภาพช้า หรือที่เราเรียกง่ายๆ ว่าภาพสโลนั่นล่ะ
มีต้นกำเนิดครั้งแรกในเกมนิวยอร์ก เรดบูล และ ออร์แงนโด ซิตี้ ในเมเจอร์เลีก ซ็อกเกอร์ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ในเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2016
ทั้งนี้ทาง International Football Association Board (IFAB) หรือคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลนานาชาติ ได้นำเทคโนโลยี VAR เข้ามาเป็น ผู้ช่วยผู้ตัดสินฟุตบอล เพื่อช่วยในเรื่องของการทบทวนการตัดสินใจของหัวหน้าผู้ตัดสิน ด้วยการใช้วิดีโอและชุดหูฟังเพื่อการสื่อสาร ดาวยิงนักเตะไทยลีก
ซึ่งก่อนหน้านี้นั้น ก็ได้มีการนำเอาตัวเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาทดลองใข้ในหลายๆการแข่งขัน ซึ่งระบบหรือรูปแบบการทำงานขอ VAR คือการบันทุกวิดิโออย่างต่อเนื่อง ตามจุดบริเวณที่สำคัญๆ อาทิ เขตกรอบหน้าเขตโทษ เพื่อเช็คการล้ำหน้าของนักเตะ หรือการทำผิดกฏกติกาที่ผู้ตัดสินเล่งเห็นว่าทำผิดจริง จากนั้นผู้ตัดสินจะทำการหยุดเกม เพื่อวิ่งไปดุวิดีโอที่ข้างสนามมาเพื่อประกอบการตัดสินใจ แต่ในปัจจุบันก็มีการพัฒนาที่มากขึ้นที่จะใช้ชุดหูฟังสื่อสารแทน โดยที่ไม่ต้องวิ่งออกไปข้างสนาม
โดยจริงๆ แล้วเทคโนโลยี VAR ก็ไม่ใช่สิ่งใหม่ของวงการกีฬากันสักเท่าไหร่ หากแต่กับวงการฟุตบอลก็ถือว่าพึ่งมีการใช้เพียงไม่นานมานี้เอง
โดยมี 4 กรณีที่จะสามารถใช้ VAR ได้ นั้นก็คือ
- จังหวะการได้ประตู ว่ามีการทำฟาวล์เกิดขึ้นหรือไม่
- จังหวะจุดโทษ หรือ ไม่จุดโทษ
- การให้ใบแดงแบบตรงๆ ในกรณีที่มีการทำฟาล์วแบบหนักๆ
- การให้ใบเหลือหรือใบแดงผิดคน
แต่เนื่องจากยังเป็นเทคโนโลยีใหม่เอามากๆ สำหรับวงการลูกหนัง ก็ทำได้เกิดข้อพิพาทหรือความผิดพลาดของระบบเกิดขึ้นอยู่มากมายพอสมควร อาทิ การแสดงเส้นกราฟิกของจังหวะล้ำหน้าที่ถ่ายทอดสดออกมาเบี้ยว จนทำให้เป็นข้อสงสัยว่าตกลงแล้วนั้น มีการล้ำหน้าจริงหรือไม่
จึงทำให้เกิดกระแสที่ตามมาระหว่างกลุ่มคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งหากมองแล้ว ช้อดีแน่ๆของการใช้ VAR ก็คือการตัดสินของเกมที่จะมีความแม่นยำและถูกต้องมากยิง่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการลดความกดดันของกรรมการในสนามอีกด้วย ที่บางครั้งนะกเตะจะชอบพุ่ง ล้ม หรือเล่นนอกเกม จะมีการระวังในการกระทำมากยิ่งขึ้น หรือไม่กล้าทำกรณีดังกล่าวเลยก็ได้
แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ยอกว่า กติกาของการใช้ VAR ยังไม่มีความชัดเจน หรือข้อบังคับมากพอ ทำให้สุดท้ายแล้วการใช้ก็ยังขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ตัดสินเพียงผู้เดียวอยู่ดี อีกทั้งการใช้ก็ยังทำให้การดำเนินเกมไม่มีความต่อเนื่อง ดูแปลกตาไป หรือถ้าจะต้องหยุดบ่อยๆครั้งก็อาจจะสร้างความรำคาญใจแก่เหล่าคอบอลและนักกีฬาอีกด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากว่าเครื่องมือครบพร้อม กับเทคโนโลยี VAR มีการพัฒนาให้มีความเสถียรที่มากขึ้น ก็จะถือว่าเป็นส่วนดีที่จะช่วยสร้างความชัดเจนในการตัดสินของเกมการแข่งขันที่มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าประเด็นนี้ จะทำให้เกิดการลดข้อพิพาทและปัญหาต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการถกเถียง หรือการทะเลาะวิวาทกันหลังเกมการแข่งขันได้
แม้ว่าแรกๆ นั้น VAR จะทำให้รู้สึกว่าเสียเวลา และอาจจะทำให้แฟนบอล หรือแม้แต่นักกีฬา มีความรู้สึกไม่ต่อเนื่องในการแข่งขันก็ตาม แต่เพื่อยกระดับวงการลูกหลัก และเพื่อทำให้เกมฟุตบอลดีขึ้น มีความถูกต้องเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น จุดนี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้เข้าแข่งขัน แฟนบอล และกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต้องแลกไป
และแน่นอนเลยว่าสิ่งที่ทุกคนจะได้จาก VAR คือความเครียร์อย่างไม่มีข้อกังขา เนื่องจากว่ามีเหตุผลหรือหลักฐานมารองรับอย่างชัดเจนนั้นเอง
เชื่อได้เลยว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เทคโนโลยี VAR จะเข้ามามีบทบาทต่อวงการลูกหนังกันอย่างเต็มตัว และเป็นที่ยอมรับกันอย่างวงกว้างมากยิ่งขึ้น และประเด็นปัญหาของกรรมการที่ว่าด้วยการตัดสินผิดพลาด ก็จะค่อยๆ ลดลงไป เพราะว่ามีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ผลประโยชน์ของแต่ละทีม แต่ละสโมสรก็จะมีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ทำให้การแข่งขันฟุตบอลดำเนินไปบนพื้นฐานของความยุติธรรม หรือความแฟร์ที่มากขึ้น ตัดจบหมดปัญหาที่แฟนบอลจะต้องมานั่งทะเลาะกันว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด แบบไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานมารองรับอีกต่อไป
แม้ว่าหลายๆ คนอาจจะมองว่าการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับวงการฟุตบอล จะทำให้เสน่ห์และความคลาสสิคของการแข่งขันฟุตบอลลดน้อยลงไป แต่เชื่อเถอะว่าจริงๆ แล้ว ความคลาสสิคมันก็ไม่ได้รับประกันว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเสมอไป ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อดำเนินต่อๆ ไป ก็ต้องมีการวิวัฒน์ “ฟุตบอล” ก็เช่นเดียวกัน ต้องตามให้ทันและปรับให้เข้ากับโลกปัจจุบัน มากกว่าการจมปลักกับความคลาสสิคแบบเดิมๆ จนอาจจะทำให้วงการฟุตบอลล้าหลังไปในที่สุด